แอนโทนี-ซานโช ระเบิดเวลาลูกใหม่ที่ทำแมนฯ ยูไนเต็ด ว้าวุ่นกันไปหมด
ลำพังความพ่ายแพ้ในนาทีบาปต่ออาร์เซนอล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นใกล้เคียงกับการจะเป็นผู้ชนะ แต่ประตูของ อเลฮานโดร การ์นาโช กลับถูกริบคืนเพราะล้ำหน้าเพียงนิดเดียวก็แย่มากพอในความรู้สึกอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้สถานการณ์ภายในโอลด์แทรฟฟอร์ดยิ่งดูหนักหนาสาหัสมากเข้าไปอีก
เริ่มจากการโต้ตอบกันระหว่าง เอริก เทน ฮาก นายใหญ่ชาวดัตช์ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่สงสัยว่า จาดอน ซานโช ทำไมจึงไม่มีชื่อในเกมกับอาร์เซนอลว่าเป็นเพราะ “ซ้อมไม่ดีพอ” ที่ทำเอาสตาร์วัย 23 ปีต้องออกมาชี้แจงผ่านโซเชียลมีเดียว่า “อย่าไปเชื่อ” เพราะตัวเขาตั้งใจเสมอ และรู้สึกว่ากลายเป็น “แพะรับบาป” ของทีมตลอด
ระหว่างที่เรื่องนี้ยังไม่ทันจะขมวดปม เมื่อคืนที่ผ่านมาก็มีข่าวอื้อฉาวต่อเนื่องทันที
เมื่อแอนโทนี ปีกจอมหมุนถูกสอบสวนในคดีทำร้ายร่างกายอดีตแฟนสาว ซึ่งส่งผลให้เขาถูกตัดชื่อจากทีมชาติบราซิลในเกมที่จะลงอุ่นเครื่องช่วงโปรแกรมทีมชาติในสัปดาห์นี้
นี่คือระเบิดเวลา 2 ลูกใหม่ที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดกลับมาตกอยู่ใต้สถานการณ์ที่กดดันอีกครั้ง
เทน ฮาก vs. ซานโช ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
ด้วยความสงสัยว่าทำไมไม่มีชื่อของ จาดอน ซานโช ทำให้ เอริก เทน ฮาก ต้องตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้
นายใหญ่ชาวดัตช์ที่กำลังหัวเสียจากการตัดสินในช่วงท้ายเกม 3 เหตุการณ์ ซึ่งเชื่อว่านำไปสู่ความพ่ายแพ้ 3-1 ต่ออาร์เซนอลให้คำตอบว่า “เป็นเรื่องของผลงานในการซ้อมที่ทำให้เราไม่เลือกเขา”
นั่นทำให้ซานโชออกมาตอบโต้ทันทีอย่างดุเดือดผ่านโซเชียลมีเดีย
“ได้โปรดอย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณได้อ่าน!” ปีกทีมชาติอังกฤษเริ่มต้นด้วยประโยคนี้ ก่อนที่จะมีการชี้แจง – หรือพูดอีกนัยคือแก้ตัวว่า – “ผมไม่ยอมให้ใครมาพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ผมซ้อมอย่างดีในสัปดาห์นี้ ผมเชื่อว่ามันมีเหตุผลอื่นๆ ในเรื่องนี้ (ที่ทำให้เขาไม่ติดทีม) และผมจะไม่ลงรายละเอียดในเรื่องนี้ ผมเป็นแพะรับบาปมานานแล้ว ซึ่งมันไม่แฟร์เลย”
ในประโยคข้างต้นสิ่งที่ควรขีดเส้นใต้ไว้หนาๆ มากกว่าคำว่า ‘ซ้อมดี’ คือคำว่า ‘มันมีเหตุผลอื่นๆ’ ที่เขาไม่อยากจะลงในรายละเอียด
เหตุผลอื่นคืออะไร?
ใช่อย่างที่เขาลือกันหรือไม่ว่าเกิดคลื่นใต้น้ำของกลุ่มนักเตะที่ไม่พอใจเทน ฮาก ที่ให้ความสำคัญกับ ‘ไอแอ็กซ์คอนเนกชัน’ มากเป็นพิเศษ นักเตะที่เคยเป็นลูกทีมเก่าจะได้โอกาสก่อนคนอื่นเสมอ?
ซานโชยังบอกต่อว่า “สิ่งที่ผมต้องการจะทำคือการเล่นฟุตบอลโดยมีรอยยิ้มบนใบหน้าและได้ทุ่มเทเพื่อทีม ผมเคารพการตัดสินใจของทีมโค้ช ผมได้เล่นร่วมกับนักเตะที่ยอดเยี่ยมมากมาย และผมก็ดีใจที่ได้ทำสิ่งนี้ ผมจะพยายามสู้ต่อไปเพื่อทีมนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม”
ในประโยคนี้คำที่ต้องขีดเส้นใต้คือคำว่า ‘รอยยิ้มบนใบหน้า’ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ซานโชกำลังไม่มีความสุขในโอลด์แทรฟฟอร์ดหรือไม่?
และตรงนี้เองที่เป็นประเด็นละเอียดอ่อน
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 1 ปีที่แล้ว มีช่วงที่ซานโชได้รับอนุญาตให้ทำการพักฟื้นทั้งทางร่างกายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจ ซึ่งคนที่อนุญาตให้เขาไปพักได้ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็น เทน ฮาก เอง โดยในครั้งนั้นไม่ได้มีการให้รายละเอียดใดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เป็นที่เข้าใจกันว่าน่าจะเป็นเพราะซานโชประสบปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นตกต่ำอย่างหนักนับตั้งแต่ย้ายมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ชีวิตของเขาไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังเลย เพราะ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ อดีตผู้จัดการทีมดึงตัวมาก็อยู่ด้วยไม่นาน แถมตำแหน่งแห่งหนในทีมก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะมี คริสเตียโน โรนัลโด โผล่มายึดศูนย์หน้าไปทำให้แนวรุกด้านบนต้องปรับกันจนงงไปหมด
ซานโชที่โดดเด่นกับดอร์ทมุนด์ในบทปีกขวา ถูกสลับมายืนปีกซ้ายแทน และดูมีปัญหาอย่างชัดเจนในการปรับตัว
เมื่อโซลชาร์ถูกปลด คนที่มาแทนอย่าง ราล์ฟ รังนิก ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของเขาดีขึ้นนัก และทุกอย่างยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก เมื่อ เทน ฮาก เข้ามาโดยที่คิดมาจากบ้านแล้วว่าตำแหน่งปีกขวาจะต้องเป็นของแอนโทนี ลูกหม้อเก่าในทีมไอแอ็กซ์
นั่นทำให้ในฤดูกาลนี้เขามีโอกาสลงเล่นแค่ 76 นาทีเท่านั้นจาก 4 นัดที่ผ่านมา (มีชื่อ 3 นัด) และนับตั้งแต่ย้ายมาจากดอร์ทมุนด์เขาทำได้แค่ 12 ประตูกับ 6 แอสซิสต์จาก 79 นัด
แต่ในมุมกลับกัน ซานโชเองก็ถูกตั้งคำถามว่า แล้วที่ผ่านมาตัวเขาตั้งใจแค่ไหน? ทั้งๆ ที่ เทน ฮาก ก็เคยให้โอกาสเขา และเขาเองก็เหมือนจะกลับมาได้ในช่วงต้นฤดูกาลที่แล้ว โดยเฉพาะหลังยิงประตูสำคัญในเกมกับลิเวอร์พูลที่เป็นจุดพลิกผันแรกของฤดูกาลที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดตั้งหลักได้
มีรายงานว่าทั้ง เทน ฮาก และทีมโค้ชผิดหวังกับการซ้อมของจอมเลื้อยรายนี้อย่างมากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกตัดออกจากทีมในเกมกับอาร์เซนอล
ซานโชยังถูกแฉต่อว่าเคยมีประวัติในการมาซ้อมสายกับดอร์ทมุนด์เป็นประจำ รวมถึงเคยถูกตำหนิจาก แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษด้วย
การที่เขาออกมาโต้ตอบใส่เทน ฮากแบบนี้ยังถูกมองว่าเป็นการตัดอนาคตของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย โดยที่เหล่านักวิเคราะห์มองว่า ถ้าเขาทำแบบนี้ใส่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือของโอลด์แทรฟฟอร์ด สิ่งที่เขาจะต้องเจอคือการเก็บข้าวของออกไปจากทีม หรือกลายเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนทันที
ยกเว้นเสียแต่จะมีการเคลียร์กันเป็นการภายใน ยอมรับผิด และปรับปรุงตัวชนิดเป็นคนละคนเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนใจเทน ฮากได้
คาดว่าในสัปดาห์นี้จะมีความคืบหน้าเรื่องราวนี้ออกมาว่าจะจบอย่างไร
สิ่งที่น่าสนใจคือมันดันเกิดสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนกับแอนโทนี เจ้าของตำแหน่งปีกขวา (ลูกรัก?) ที่ทำเอาแมนฯ ยูไนเต็ดหัวจะปวดอีกแล้ว
แอนโทนี ผู้ต้องหาคนใหม่
ภาพของ เมสัน กรีนวูด ที่เพิ่งเดินทางถึงสโมสรเคตาเฟ ในสัญญายืมตัว 1 ปีจนจบฤดูกาล (แต่สามารถยกเลิกสัญญาได้ในเดือนมกราคม) ถือว่าเป็นการจบปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานสำหรับทั้งสโมสร นักฟุตบอล และแฟนบอล
เป็นสัญญาณว่าทุกฝ่ายจะได้มูฟออนอย่างเป็นทางการเสียที
แต่ในวันเดียวกันนั้นเอง แมนฯ ยูไนเต็ด – โดยเฉพาะ ริชาร์ด อาร์โนลด์ ในฐานะซีอีโอของสโมสร – ต้องกลับมาปวดหัวอีกรอบ เมื่อมีรายงานข่าวจากประเทศบราซิลเกี่ยวกับคดีของแอนโทนี ปีก 360 องศาที่มีปัญหากับอดีตแฟนสาว กาบริเอลา คาวาลลิน
โดย UOL สำนักข่าวในบราซิลตีแผ่คดีที่คาวาลลิน กล่าวหาว่าแอนโทนีทำร้ายร่างกายเธอจนเกิดบาดแผลขึ้นหลายจุดพร้อมมอบหลักฐานให้ ไม่ว่าจะเป็น
- รูปภาพบาดแผลบนร่างกายที่ถูกทำร้ายโดยสตาร์ทีมชาติบราซิล
- ข้อความบน WhatsApp ที่แอนโทนีข่มขู่เธอ และขอโทษที่ทำร้ายและเตะเธอ
คาวาลลิน ซึ่งเป็นดีเจที่มีผู้ติดตามถึงครึ่งล้านคนเปิดเผยว่า เธอถูกแอนโทนีทำร้ายครั้งแรกในวันที่ 1 มิถุนายนปีที่แล้ว ในช่วงที่กำลังพักร้อนอยู่ในบ้านเกิดที่บราซิล โดยสตาร์แมนฯ ยูไนเต็ด เจอเธออยู่ในไนต์คลับที่เดียวกับที่เขาอยู่ ก่อนจะกระชากเธอขึ้นรถ พร้อมกับขู่ย้ำๆ ว่าจะทำร้ายเธอ และจะโยนเธอออกจากรถที่กำลังขับด้วยความเร็วสูง
โดยที่ระหว่างนั้นคาวาลลินกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งก็เป็นลูกของแอนโทนีเองด้วย
“เขาบอกว่าถ้าฉันจะไม่อยู่กับเขา ฉันก็ไม่สามารถจะไปอยู่กับใครได้ทั้งนั้น ฉันสั่นด้วยความกลัว”
จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายครั้งที่ 2 ขึ้นในวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา หนึ่งวันหลังจากที่แมนฯ ยูไนเต็ดเอาชนะแมนฯ ซิตี้ได้ 2-1 โดยเหตุเกิดที่โรงแรม 4 ดาว ไฮแอท รีเจนซี เมื่อแอนโทนีชกเธอเข้าที่กลางหน้าอก จนทำให้ซิลิโคนเสริมหน้าอกพลิกกลับ นอกจากนี้ศีรษะของเธอยังแตกด้วย
สตาร์ที่ย้ายมาด้วยค่าตัว 86 ล้านปอนด์พยายามบอกเธอว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย แค่จะผลักเข้าผนังเท่านั้น แต่สุดท้ายเธอต้องเข้ารับการรักษาตัว
เหตุการณ์ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา คราวนี้คาวาลลินบอกว่าแอนโทนีพยายามทำร้ายเธอด้วยเศษแก้ว ซึ่งเธอพยายามปกป้องตัวเอง และทำให้ได้แผลลึกจนเห็นกระดูกที่มือข้างขวา นั่นทำให้เธอตัดสินใจจะบินกลับบราซิลทันที
“ฉันต้องหนีกลับไปก่อนที่เขาจะฆ่าฉัน”
เรื่องราวทั้งหมดนี้ถึงมือเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งที่เซาเปาโลในบราซิล และแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ และทำให้สหพันธ์ฟุตบอลบราซิลตัดสินใจถอดชื่อเขาออกจากเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่จะพบกับโบลิเวียและเปรูก่อนเพื่อทำการสอบสวนในเรื่องนี้
ขณะที่เจ้าตัวออกมาโต้ตอบว่าอดีตแฟนสาว ‘สร้างหลักฐาน’ ขึ้นเพื่อใส่ร้ายป้ายสีเขา โดยแม้จะมีปากเสียงกันแต่ไม่เคยถึงขั้นทำร้ายร่างกาย
สตาร์วัย 23 ปียังยืนยันว่า เขาพร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองกับทุกฝ่ายว่าเขาไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา และยังกล่าวหาคาวาลลินกลับด้วยว่าพยายามกุเรื่องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
สิ่งที่น่าสนใจคือแมนฯ ยูไนเต็ดจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร?
ในแง่ของความสะเทือนใจ เราอาจบอกได้ว่ากรณีของแอนโทนียังไม่เท่ากับกรณีของ เมสัน กรีนวูด ที่ทุกคนต้องช็อกกับภาพ เสียง และคำพูดที่เขาพูดกับแฟนสาว จนนำไปสู่การดำเนินคดีร้ายแรงทั้งข่มขืน ทำร้ายร่างกาย และกักขังหน่วงเหนี่ยว
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่แอนโทนีทำจะผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนนั้น ต้องดูท่าทีของแมนฯ ยูไนเต็ดว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
จะสั่งพักการเล่นไม่มีกำหนดในแบบเดียวกับที่กรีนวูดต้องเจอไหม? จนกว่าจะมีการตัดสินคดีอย่างเป็นทางการออกมา
หรือจะมีแนวทางในการจัดการอย่างไร ก็ต้องชัดเจนและเด็ดขาดมากพอที่จะทำให้ไม่เกิดความเคลือบแคลงสงสัยจากสังคมและแฟนฟุตบอล
แต่ที่แน่ๆ คือเรื่องนี้จะเป็นอีกเคสที่ปวดหัวอย่างแน่นอน และอาจทำให้สโมสรต้องกลับมาทบทวนกันในเรื่องของการเฟ้นหาผู้เล่นที่อาจต้องใส่ใจกับประวัติ นิสัย ความประพฤติส่วนตัวของนักฟุตบอลกันมากขึ้น รอบคอบขึ้น
เพราะไม่เช่นนั้นหากเกิดกรณีแบบนี้อีก มูลค่าความเสียหายของมันมากมายมหาศาล
ไม่นับค่าเสียโอกาส ชื่อเสียง และภาพลักษณ์ของสโมสรที่ประเมินค่าไม่ได้ และได้รับผลกระทบไปด้วยจากสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้
อ้างอิง: