ฟุตบอลโลก 2022 ในความทรงจำที่แสนงดงาม
ในด้านหนึ่งฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ที่เพิ่งจบลงไป เป็นฟุตบอลโลกที่เต็มไปด้วยคำครหามากที่สุด
ปัญหานั้นมีตั้งแต่ต้นเรื่องอย่างการได้มาซึ่งสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพที่ถูกมองว่าไม่ขาวสะอาด การละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานผู้เปลี่ยนทะเลทรายให้กลายเป็นสนามฟุตบอล เรื่องความพร้อมของนักกีฬาที่ต้องลงแข่งในฟุตบอลโลกช่วงฤดูหนาว ไปจนถึงเรื่องปัญหา LGBTQ+ และเรื่องเล็กแต่ใหญ่อย่างการงดจำหน่ายเบียร์ในบริเวณรอบสนามฟุตบอล
แต่อีกหนึ่งด้านต้องยอมรับว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นฟุตบอลโลกที่ดี สนุกกว่าที่คาด และเต็มไปด้วยเรื่องเหลือเชื่อมากมายที่ได้รับการบันทึกในความทรงจำของแฟนลูกหนังทุกคน
วันนี้ GQ Hype อยากชวนทุกคนมาร่วมเก็บตกกับสิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกที่เพิ่งจบลงไปกันอีกครั้ง และหวังว่าจะมีสักเรื่องสองเรื่องที่เราจะใจตรงกัน 🙂
การประกาศกร้าวจากเอเชีย
ตลอดมาทีมฟุตบอลจากเอเชียจัดอยู่ในกลุ่มไม้ประดับของฟุตบอลโลกมาโดยตลอด เพราะด้วยระดับชั้นเชิงทางเกมลูกหนังต้องยอมรับว่าห่างจากทีมในทวีปอื่นโดยเฉพาะมหาอำนาจอย่างยุโรปและอเมริกาใต้อยู่มาก
แต่ไม่ใช่สำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่เราได้เห็นการลุกขึ้นสู้อย่างน่าประทับใจของทีมจากเอเชีย ซึ่งทุกอย่างเริ่มจากการช็อกโลกของซาอุดีอาระเบียที่พลิกเอาชนะอาร์เจนตินาได้อย่างมหัศจรรย์ ต่อด้วยชัยชนะเหมือนมังงะของญี่ปุ่นที่ล้มเยอรมนีและสเปนจนผ่านเข้ารอบต่อไปได้
ขณะที่เกาหลีใต้ก็โค่นโปรตุเกสจนเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้เช่นเดียวกับออสเตรเลีย ที่มาดีแบบงงๆ ขณะที่อิหร่านก็มีไว้ลายให้เห็นในรอบแรกด้วยการเอาชนะเวลส์ได้ ซึ่งแม้สุดท้ายพวกเขาและซาอุดีอาระเบียจะไม่ได้ผ่านเข้ารอบก็ยังถือว่าน่าประทับใจ
จะมียกเว้นก็เพียงชาติเจ้าภาพกาตาร์เท่านั้นที่สอบไม่ผ่านในครั้งนี้ แต่โดยรวมแล้วทีมจากเอเชียในฟุตบอลโลกหนนี้น่าประทับใจอย่างยิ่ง
‘สิงโตแอตลาส’ ทีมม้ามืดตัวจริง
แต่ถ้าถามถึงทีมจอมเซอร์ไพรส์ที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นทีม “ม้ามืด” ประจำการแข่งขันตัวจริงย่อมหนีไม่พ้นโมร็อกโก ทีมจากทวีปแอฟริกาที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของใครมาก่อนแต่สามารถทะลุเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้เป็นทีมแรกจากกาฬทวีปที่มาได้ไกลขนาดนี้ และทำได้ดีกว่าชุดในตำนานของพวกเขาเองในปี 1986 ที่เป็นชาติแรกจากแอฟริกาที่เข้าถึงรอบน็อคเอาต์ได้
โดยเส้นทางของทีม “สิงโตแอตลาส” นั้นก็ไม่ได้ง่ายเลยแต่พวกเขาปราบมาได้ทั้งเบลเยียม, สเปน และที่เด็ดที่สุดคือโปรตุเกส ด้วยสไตล์การเล่นที่น่าประทับใจ รับเหนียวแน่น แก้เพรสซิงอย่างเป็นระบบ เกมรุกวูบวาบน่าตื่นตาตื่นใจ และที่สำคัญคือใจสู้ทุกคน
ดังนั้นถึงจะพ่ายต่อฝรั่งเศสในรอบตัดเชือก แต่พวกเขาก็ทำให้แชมป์โลกต้องเดินออกจากสนามแบบแทบคลานเลยทีเดียว ส่วนในเกมนัดชิงที่ 3 นั้นน่าเสียดายที่แพ้ แต่คู่แข่งก็คือโครเอเชีย รองแชมป์โลกเมื่อ 4 ปีก่อน
เรื่องราวของโมร็อกโกจึงเป็นเรื่องราวที่งดงามที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ในความรู้สึกของผู้คนมากมาย
ค้นพบดาวดวงใหม่
หลายเดือนที่ผ่านมาเราได้ตื่นตาตื่นใจไปกับภาพถ่ายดวงดาวในห้วงอวกาศอันไกลโพ้นจากกล้องเจมส์ เว็บบ์ที่งดงามอย่างยิ่ง
ในฟุตบอลโลกหนนี้ก็มีการเกิดใหม่ของดวงดาวมากมาย ซึ่งก็มีทั้งเป็นคนที่เก็งไว้ในความคาดหมาย เช่น จู๊ด เบลลิงแฮม กองกลางดาวรุ่งมหัศจรรย์ของทีมชาติอังกฤษ หรือเปดรี กับกาวี สองอัจฉริยะลูกหนังทีมชาติสเปน และจามาล มูเซียลา นักเตะพรสวรรค์ของทีมชาติเยอรมนี
แต่ที่ต้องบอกว่าเป็นดาวดวงใหม่ในแบบที่ไม่มีใครคาดฝันจริงๆ และน่าประทับใจกว่าก็มีอีกหลายคน อาทิ อัสซาดีน อูนาไฮ ห้องเครื่องทีมชาติโมร็อกโก, ยอสโก กวาดิโอล ปราการหลังสุดแกร่งของทีมชาติโครเอเชีย, ฮูเลียน อัลวาเรซ ที่กลายเป็นคู่ขวัญของลิโอเนล เมสซีในทีมชาติอาร์เจนตินา
ในเอเชียก็มีริตสึ โดอัน, ทาคุมะ อาซาโนะ ตัวรุกทีมชาติญี่ปุ่นที่เด็ดขาดบาดใจ ส่วนเกาหลีใต้ต้องยกให้โชคยูซอง กองหน้าที่กลายเป็นขวัญใจสาวๆในฟุตบอลโลกครั้งนี้
The Last Dance ของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่
นอกจากดาวดวงใหม่แล้วฟุตบอลโลกครั้งนี้ยังเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายสำหรับตำนานผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่จะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้วในอนาคต
ลูกา โมดริช ปิดฉากด้วยการพาโครเอเชียคว้าอันดับ 3 ในฟุตบอลโลกหนนี้ ขณะที่โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ปลดล็อกชีวิตได้สำเร็จกับการทำประตูแรกในฟุตบอลโลกได้จนถึงกับหลั่งน้ำตา ส่วนแกเร็ธ เบล เขาทำภารกิจของตัวเองสำเร็จตั้งแต่พาเวลส์กลับมาฟุตบอลโลกได้อีกครั้งในรอบ 64 ปีแล้ว
คนที่ทำให้แฟนบอลสะเทือนใจที่สุดคือคริสเตียโน โรนัลโด กับภาพการเดินออกจากสนามด้วยน้ำตาหลังจากที่โปรตุเกสพ่ายพลิกล็อกต่อโมร็อกโกในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยอมรับวา “ความฝัน” ของเขากับฟุตบอลโลกมันจบลงแล้ว และมันจบแบบไม่ดีเท่าไรนัก
Magic Messi
ขณะที่คู่ปรับชั่วชีวิตของโรนัลโดอย่างลิโอเนล เมสซี ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถเป็นผู้นำของอาร์เจนตินาในแบบที่ใกล้เคียงกับตำนานเทพเจ้าลูกหนังอย่างดีเอโก อาร์มันโด มาราโดนา ด้วยการพาทีมเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
โดยตลอดเส้นทางนั้นเราได้เห็น “เวทมนต์” ของเมสซีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นลูกยิงไกลในเกมกับเม็กซิโก ซึ่งเป็นประตูสำคัญอย่างยิ่งเพราะตอนนั้นสถานการณ์ของอาร์เจนตินาวิกฤติแล้วหลังแพ้ซาอุดีอาระเบียมาในเกมแรก
หลังจากนั้นคือการยิงประตูในเกมกับออสเตรเลีย การจ่ายบอลแบบเหลือเชื่อในเกมกับเนเธอร์แลนด์ รวมถึงการลากเลื้อยหนียอสโก กวาร์ดิโอล หนึ่งในกองหลังที่เล่นได้เด่นที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้แบบดื้อๆเพื่อเปิดบอลให้ฮูเลียน อัลวาเรซยิงประตูในเกมรอบรองชนะเลิศที่พบกับโครเอเชีย
นี่คือสิ่งที่แฟนฟุตบอลคาดหวังจะเห็นจากเมสซี ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นคนแบกประคองทีมแต่เพียงคนเดียวเพราะในทางตรงกันข้ามเพื่อนร่วมทีมทุกคนที่สู้เพื่อเขาคือคนที่แบกทีมตัวจริง แต่คนพลิกเกมให้ก็คือราชาลูกหนังจากโรซาริโอคนนี้
ผลงานของเมสซีในวัย 35 ปีทำให้นักข่าวสาวชาวอาร์เจนไตน์เป็นตัวแทนบอกกับเขาว่า “สิ่งที่เมสซีทำนั้นได้อยู่ในหัวใจของชาวอาร์เจนตินาไปแล้ว และมันยิ่งใหญ่กว่าการได้แชมป์ฟุตบอลโลกหรือไม่”
เอ็มบัปเป อสูรการสายฟ้า
ถึงจะมีข่าวคราวในทางลบออกมาในช่วงหลายเดือนมานี้แต่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้คีลิยัน เอ็มบัปเป ได้แสดงให้ทุกคนได้เห็นอีกครั้งว่าขีดความสามารถที่แท้จริงของเขาน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน
ในฟุตบอลโลกครั้งนี้กองหน้าวัย 23 ปีประจำการทางกราบซ้ายเป็นหลักโดยมีโอลิวิเยร์ ชิรูด์ พี่ใหญ่เป็นกองหน้าตัวเป้า และมีอองตวน กรีซมันน์เป็นดังมันสมองของทีม ซึ่งทุกคนต่างก็ทำได้ดี เพียงแต่ถึงเวลามองหาทีเด็ดทีขาดเอ็มบัปเปแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขา
สองประตูในเกมกับโปแลนด์ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายซึ่งเป็นการวางเท้ายิงที่สุดยอดซึ่งหาน้อยคนจะทำได้แบบนี้ ขณะที่ในเกมตึงมือกับโมร็อกโกในรอบรองชนะเลิศเขาก็เป็นคนที่ฉีกตัวมารับบอลหน้ากรอบเขตโทษก่อนเลาะเข้าไปข้างในและยิงไปแฉลบก่อนบอลเข้าทางโคโล มัวนี กองหน้าตัวสำรองยิงย้ำชัยให้ทีมได้ ซึ่งจังหวะ “พลิ้ว”ของเอ็มบัปเปช็อตนี้นั้นเหลือประมาณ
ที่สำคัญคือในฟุตบอลโลกครั้งนี้เอ็มบัปเป ดูโตและมีวุฒิภาวะมากขึ้นในการรับผิดชอบทีม มากกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนที่ฝรั่งเศสได้แชมป์โลกสมัยที่ 2 ที่ประเทศรัสเซียมากจนทำให้น่าคิดว่าในเส้นทางนับจากนี้ที่จะเป็นยุคสมัยของเขาแบบเต็มๆนั้นเขาจะไปได้ไกลถึงไหนกัน
เพราะที่เห็นอยู่นั้นยังไม่ใช่ร่างโตเต็มวัยด้วยซ้ำไป
นัดชิงชนะเลิศที่สุดยอดที่สุดตลอดกาล
ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้นเหล่าแฟนๆทั่วโลกต่างคาดเดากันอย่างสนุกสนานว่าใครจะได้เป็นคู่ชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลกครั้งนี้
บางคนก็อยากเห็น “เมสซี vs. โรนัลโด” เหมือนในโฆษณาของ Luois Vuitton ที่สร้างความฮือฮาก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม ขณะที่อีกหลายคนก็มีอีกหลายชอยส์ที่แตกต่างกันไปเช่น บราซิล vs. ฝรั่งเศส, อาร์เจนตินา vs. อังกฤษ หรือแม้กระทั่ง บราซิล vs. อาร์เจนตินา (ในเงื่อนไขที่ทีมใดทีมนึงต้องจบด้วยการเป็นรองแชมป์กลุ่ม)
แต่ปรากฏว่าเราได้ชมนัดชิงระหว่างอาร์เจนตินา กับฝรั่งเศสแทน ซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในโฟกัสของใครมากนัก แต่ก็จัดเป็น “Dream Final” ได้เหมือนกัน เพราะ “เลส์ เบลอส์” ก็เป็นแชมป์โลกมาก่อนและอยากเป็นทีมแรกในรอบ 60 ปีที่ป้องกันแชมป์ได้
ขณะที่อาร์เจนตินา ทุกคนอยากเห็นลิโอเนล เมสซี ได้ปิดฉากชีวิตทีมชาติอย่างแฮปปี้เอนดิ้งและขึ้นไปอยู่บนหิ้งร่วมกับเปเลและมาราโดนาด้วยการคว้าแชมป์โลกสักที และถึงจะไม่ได้วัดกับโรนัลโด แต่การวัดกับเอ็มบัปเป นักเตะที่ถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาแทนที่เขาในอนาคตก็คู่ควรต่อการจับตามองไม่แพ้กัน
ฟอร์มและเส้นทางของทั้งสองทีมก็ยิ่งทำให้น่าจับตามองมากขึ้นไปอีกเพราะฝรั่งเศสเล่นดีมาตลอด (ยกเว้นเกมแพ้ตูนิเซียที่ใช้ทีมสำรอง) ในขณะที่อาร์เจนตินาเริ่มไม่ดี แต่ค่อยๆเดินมาอย่างกระท่อนกระแท่นจนเริ่มพีคขึ้นเรื่อยๆ
ปรากฏว่าสิ่งที่เราได้เห็นในเกมนัดชิงชนะเลิศก็คือนัดชิงชนะเลิศที่สุดยอดที่สุดตลอดกาล!
อาร์เจนตินาเหมือนจะคว้าแชมป์มาครองได้อย่างง่ายดายอยู่แล้วหลังออกนำไปก่อน 2-0 ตั้งแต่ครึ่งเวลาแรกจากจุดโทษของลิโอเนล เมสซี และอังเคล ดิ มาเรีย ด้วยฟอร์มการเล่นที่ต้องบอกว่าข่มกว่าชัดเจน
แต่ปรากฏว่าในช่วงก่อนหมดเวลา 10 นาทีฝรั่งเศสไล่ตามตีเสมอได้สำเร็จทันควันในเวลาแค่ 2 นาที เริ่มจากจุดโทษของเอ็มบัปเป ก่อนที่เขาจะทำประตูสุดยอดทำให้สกอร์กลับมาเสมอกัน 2-2 และรูปเกมเป็นฝ่ายบุกกระหน่ำข้างเดียว
อาร์เจนตินายื้อเอาไว้ได้ และเหมือนจะได้แชมป์โลกอีกครั้งเมื่อเมสซี ได้โอกาสยิงประตูขึ้นนำ 3-2 ในช่วงการต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 109 แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่หนำใจอยากให้มันดราม่าอีกก็เสกจุดโทษให้ฝรั่งเศส และเป็นเอ็มบัปเป ที่ยิงตีเสมอ 3-3 เป็นนักฟุตบอลคนแรกต่อจากเจฟฟ์ เฮิร์สต์ ที่ยิงแฮตทริกได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเมื่อปี 1966
การตัดสินแชมป์โลกจึงต้องดวลกันถึงฎีกา ซึ่งปรากฏว่าในช่วงของการดวลจุดโทษอาร์เจนตินาก็ได้ฮีโร่คนเดิมที่เคยช่วยทีมมาตั้งแต่ในศึกโคปา อเมริกา และในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับเนเธอร์แลนด์ มาเซฟลูกยิงของคิงสลีย์ โกม็องซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนก่อนที่อาร์เจนตินาจะชนะไปในการดวลจุดโทษ 4-2
อาร์เจนตินาได้เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3
ลิโอเนล เมสซี ได้แชมป์ฟุตบอลโลกจนได้ในวัย 35 ปี และเป็นการได้มาในแบบ Epic คือได้มาอย่างยากลำบากที่สุดในนัดชิงชนะเลิศที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
โดยใครที่ได้เป็นสักขีพยานจะไม่มีทางลืมเรื่องที่เกิดในวันนี้อย่างแน่นอน