รูดี้ การ์เซีย : ยอดโค้ชฝีมือดี แต่มักจะมีปัญหาการรับมือกับนักเตะได้ไม่ดีพอ

0


หลังจากที่ ลูเซียโน สปัลเลตติ อดีตผู้จัดการทีมชาวอิตาลีวัย 64 ปีนำทัพพา นาโปลี คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา ประจำฤดูกาล 2022/23 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็น “สคูเด็ตโต้” ในรอบ 33 ปีประจำสโมสร 

 

เขาตัดสินใจวางมือจากการเป็นผู้จัดการทีมของนาโปลี โดยให้เหตุผลว่ารู้สึกเหนื่อยกับการคุมทีมในช่วงเวลานี้และอยากมีเวลาส่วนตัวให้กับครอบครัวของเขามากขึ้น ซึ่งคนที่มารับไม้ต่อการเป็นผู้จัดการทีมต่อจาก ลูเซียโน สปัลเลตติ นั่นคือ รูดี้ การ์เซีย ผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส วัย 59 ปี

รูดี้ การ์เซีย ผ่านการคุมทีมชื่อดังมาหลากหลายสโมสร อาทิ ลีลล์, โอลิมปิก มาร์กเซย, โรม่า รวมไปถึง อัล นาสเซอร์ สโมสรชื่อดังในประเทศซาอุดิอาระเบีย โดย รูดี้ การ์เซีย เป็นอีกหนึ่งผู้จัดการทีมที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้จัดการทีมที่มีจุดเด่นในการวางแทคติกที่ยอดเยี่ยม ถึงขั้นได้รับฉายาว่า “เดอะ เฟรนช์ กวาร์ดิโอล่า”

แต่การมาคุม นาโปลี ป้องกันแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา ประจำฤดูกาล 2023/24 ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย สำหรับ รูดี้ การ์เซีย และด้วยผลงานที่ผ่านมาในช่วงต้นฤดูกาลของทีมที่ค่อนข้างดรอปลงอย่างเห็นได้ชัดจากฤดูกาลก่อน แถมมักจะมีปัญหาให้เห็นในทุกระยะทั้งเรื่องในสนามและนอกสนาม ซึ่งในส่วนใหญ่แล้วปัญหาจะเกิดขึ้นจากตัวผู้จัดการทีมรายนี้ ที่ส่งผลให้ตัวนักเตะในทีมแสดงอาการไม่พอใจออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

ติดตามเรื่องราวทั้งหมดไปพร้อมกันกับพวกเรา Main Stand 

 

เส้นทางลูกหนังในสนาม ที่จบลงก่อนวัยอันควร

โฆเซ่ การ์เซีย คุณพ่อของ รูดี้ การ์เซีย เป็นชาวสเปนเกิดที่แคว้นอันดาลูเซีย แต่เขาและครอบครัวต้องอพยพถิ่นฐานไปอยู่ที่เมืองอาร์เดนส์ ประเทศฝรั่งเศส เนื่องจากในช่วงเวลานั้นประเทศสเปน เกิดเหตุสงครามกลางเมือง

การย้ายมาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสจึงทำให้ โฆเซ่ การ์เซีย พบรักกับหญิงสาวรายหนึ่งชาวฝรั่งเศส และมีลูกด้วยกัน 1 คนชื่อว่า รูดี้ การ์เซีย โดย โฆเซ่ การ์เซีย เผยว่าเขาตั้งชื่อลูกว่า รูดี้ ตาม รูดี้ อัลทิก นักแข่งจักรยานชาวเยอรมัน เนื่องจากเขาชื่นชอบในตัวของ รูดี้ อัลทิก เป็นอย่างมาก

ปี 1970 โฆเซ่ การ์เซีย เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมสโมสรท้องถิ่นในประเทศฝรั่งเศสชื่อว่า คอร์เบล เอสซอนเนส (Corbell-Essonnes) จึงส่งผลให้ รูดี้ การ์เซีย ได้รับโอกาสเข้าร่วมเป็นนักฟุตบอล เยาวชนของทีม คอร์เบล เอสซอนเนส ตั้งแต่เขาอายุเพียง 7 ขวบ 

ปี 1979 รูดี้ การ์เซีย ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม วิลี่ ชาร์ติยง (Villy Chatillon) เพื่อร่วมทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี เนื่องจาก คอร์เบล เอสซอนเนส ไม่มีทีมอายุรุ่นนี้

หลังจากเรียนจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมในวัย 18 ปี รูดี้ การ์เซีย เซ็นสัญญากับ ลีลล์ (Lille) ในฐานะนักเตะเยาวชน ก่อนใช้เวลา 2 ปี และขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1983 

รูดี้ การ์เซีย โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในตำแหน่งกองกลางตัวรุกของทีม แต่เขามักจะเจอ อาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นเหตุผลให้ในตลอดระยะเวลา 5 ปี เขาลงสนาม ช่วยต้นสังกัดไปเพียง 64 นัดตลอดการค้าแข้งกับ ลีลล์ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ ก็อง (Caen) เมื่อปี 1988

ผลงานส่วนตัวของ รูดี้ การ์เซีย ยังคงยอดเยี่ยมอยู่เสมอ แต่ปัญหาเดิมๆของเขาที่ทำให้เขาไปไม่สุดกับทีมนั่นก็คือ อาการบาดเจ็บที่เขามักจะเจออยู่ตลอด รูดี้ การ์เซีย เล่นให้กับ ก็อง 3 ปีเขาลงสนามไปเพียง 57 นัดเท่านั้นก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีม มาร์ติเกส(Martigues) ซึ่งการมาอยู่ที่นี่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเขา เลยก็ว่าได้

เขาได้รับอาการบาดเจ็บอีกครั้ง แต่ว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้ดูเป็นครั้งที่ร้ายแรงมากพอสมควรถึงขั้นต้องผ่าตัดหัวเข่า จึงเป็นสาเหตุให้ รูดี้ การ์เซีย เลือกที่จะยุติเส้นทางอาชีพของตัวเองลงด้วยอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น

 

เริ่มงานผู้จัดการทีมตั้งแต่วัยรุ่น

หลังจากที่ รูดี้ การ์เซีย ตัดสินใจแขวนสตั๊ดได้ไม่นาน เขาเริ่มเรียนรู้ในงานเป็นผู้จัดการทีม โดยสโมสรแรกที่ รูดี้ การ์เซีย เริ่มคุมทีมนั้นคือ คอร์เบล เอสซอนเนส (Corbell-Essonnes) สโมสรแรกในตอนที่เขาเป็นนักฟุตบอลเยาวชนนั่นเอง เขาเริ่มรับงานเป็นผู้จัดการทีมในปี 1994 โดยเริ่มจากการคุมทีมเยาวชนก่อนที่จะได้รับโอกาสคุมทีมชุดใหญ่ในปี 1996 ซึ่งในขณะนั้น เขามีอายุ 32 ปีเท่านั้น

รูดี้ การ์เซีย อยู่กับสโมสร คอร์เบล เอสซอนเนส ถึงปี 1998 ก่อนที่เขาจะได้รับการทาบทามจาก แซงต์ เอเตียน (AS Saint-Etienne) สโมสรชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส ให้ไปรับหน้าที่ เป็นนักกายภาพประจำทีม ก่อนที่จะได้รับโอกาสไปเป็นแมวมองประจำทีมและได้รับบทบาท ที่ใหญ่ขึ้นจากเดิม นั้นคือการเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมชุดใหญ่ 

กระทั่งในปี 2001 ผลงานของ แซงต์ เอเตียน ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ อยู่ในโซนท้าย ตาราง สโมสรจึงตัดสินใจปลด จอห์น โตแช็ก ผู้จัดการทีมในเวลานั้นออก และให้โอกาสกับ รูดี้ การ์เซีย คุมทีมชุดใหญ่ร่วมกับ ฌอง-กีย์ วัลเลม เป็นระยะเวลา 6 เดือน แต่การเป็น ผู้จัดการทีมครั้งแรกของ รูดี้ การ์เซีย เรียกได้ว่าล้มเหลวอย่างรุนแรง เพราะเขาไม่สามารถช่วยให้ แซงต์ เอเตียน รอดพ้นจากการตกชั้นในปีดังกล่าวได้สำเร็จ ชนะไปได้เพียง 5 นัด จากการคุมทีมไปทั้งหมด 17 นัด จบในอันดับรองสุดท้ายของตาราง ห่างจากโซนตกชั้นถึง 6 คะแนน

ซึ่งการที่เขาไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นได้ แซงต์ เอเตียน ปลด รูดี้ การ์เซีย ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมของสโมสร และทำการแต่งตั้ง อลัน มิเชล ขึ้นมารับตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน

หลังจากนั้น รูดี้ การ์เซีย ว่างงานยาวนานถึง 1 ปีเต็มก่อนที่ในปี 2002 จะได้รับโอกาสไปคุมทีม ดิฌง (Dijon) สโมสรในลีกรองของประเทศฝรั่งเศส รูดี้ การ์เซีย อยู่กับ ดิฌง ยาวนานถึง 5 ปีเต็ม แต่ก็ไม่สามารถพาต้นสังกัดเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ ก่อนที่จะตัดสินใจอำลาทีมไปในปี 2007

ในรอบนี้ รูดี้ การ์เซีย ว่างงานอยู่ไม่นานเขาได้รับการทาบทามให้ไปคุมทีม เลอ ม็องส์(Le Mans) สโมสรบนลีกสูงสุดของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งผลงานการคุมทีมที่ เลอ ม็องส์ ถือว่าเป็นไปได้ดีโดย รูดี้ การ์เซีย พาทีมจบในอันดับที่ 9 ของตาราง ซึ่งเป็นการจบเลขตัวเดียว ครั้งแรกของสโมสรตั้งแต่เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดเมื่อปี 2005

ด้วยผลงานการคุมทีมที่ยอดเยี่ยมของเขา จึงเป็นสาเหตุให้ ลีลล์ อดีตต้นสังกัดของเขาสมัย ตอนยังเป็นนักเตะ ตัดสินใจกระชากตัว รูดี้ การ์เซีย ไปเป็นผู้จัดการทีมแทนที่ของ โคล้ด ปูแอล 

 

โทรฟี่แรกในชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ รูดี้ การ์เซีย

ผลงานการคุมทีมในฤดูกาลแรกของ รูดี้ การ์เซีย ในการคุมทีม ลีลล์ นั้นถือว่าเป็นไปได้ด้วยดีเขาพาต้นสังกัดจบในอันดับที่ 5 ของตารางคว้าโควต้าไปลุยฟุตบอล “ยูฟ่า คัพ” (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก) หลังจากที่สโมสรห่างหายจากการไปเล่นฟุตบอลยุโรปถึง 3 ปีติดต่อกัน

 

อีกหนึ่งจุดที่ รูดี้ การ์เซีย ได้รับการชื่นชมอย่างมากนั้นคือ การที่เขาปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นฟุตบอลที่น่าเบื่อจากผู้จัดการทีมคนเก่าอย่าง โคล้ด ปูแอล ให้กลายเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลสนุกและมีสไตล์เกมรุกที่จัดจ้าน ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นอย่าง ลูโดวิช โอบราเนียค และ มิเชล บาสโตส ขึ้นมาเป็นผู้เล่นแนวหน้าของลีก โดยในรายหลังจบฤดูกาลด้วยการเป็นดาวซัลโวของสโมสรด้วยการยิงไปทั้งหมด 14 ประตู

รูดี้ การ์เซีย ยกระดับ ลีลล์ ให้กลายเป็นทีมที่น่ากลัวมากขึ้น จนสามารถหักปากกาเซียนพา ลีลล์ คว้าแชมป์ลีกเอิง ได้ในฤดูกาล 2010/11 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกของสโมสร ในรอบ 57 ปี แถมยังคว้าแชมป์ เฟรนช์ คัพ จบฤดูกาลดังกล่าวด้วยการเป็นดับเบิลแชมป์ และยังทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักกับนักเตะอย่าง มุสซา โซว ดาวซัลโวของทีมที่ ในฤดูกาลนั้นจบลงด้วยตำแหน่งดาวซัลโวของลีกเอิง จากการทำประตูไปทั้งหมด 25 ประตู กับ โยฮัน กาบาย ห้องเครื่องคนสำคัญของทีมที่โดดเด่นจนถูกเรียกไปติดทีมชาติฝรั่งเศสชุดใหญ่ เป็นครั้งแรกในชีวิต

แต่เชื่อว่านักเตะที่ผู้คนต่างให้ความสนใจมากที่สุดในตอนนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเอเดน อาซาร์ ดาวรุ่งชาวเบลเยียม ที่โชว์ฟอร์มการเล่นเกินอายุของตัวเองที่ในขณะนั้นเพิ่งจะมีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น รูดี้ การ์เซีย ปรับสไตล์การเล่นให้ เอเดน อาซาร์ เล่นปีกซ้ายในสไตล์ “Inverted Winger” ที่ไม่เน้นออกริมเส้น แต่เน้นเป็นการตัดเข้ากลางเข้ามามีส่วนร่วม กับเกมรุกด้านใน และด้วยสไตล์การเล่นที่โดดเด่นของเจ้าตัวส่งผลให้เขาถูก “สิงห์บลูส์” เชลซี ซื้อตัวไปในราคา 35 ล้านยูโรเมื่อปี 2012

หลังจากจบฤดูกาล 2010/11 สื่อในประเทศฝรั่งเศสต่างยกย่องและให้ฉายากับ รูดี้ การ์เซีย ว่าเปรียบเสมือน “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” แห่งประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในภายหลังเขายังได้รับรางวัล ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลดังกล่าว โดยเขาได้อุทิศรางวัลนี้ให้กับ โฆเซ่ การ์เซีย คุณพ่อของเขาที่เพิ่งจะล่วงลับไปได้ไม่นาน

 

ออกเดินทางสู่โลกกว้าง

หลังจากประสบความสำเร็จในการพา ลีลล์ เป็นแชมป์ลีกสูงสุดได้แล้ว การเดินทางครั้งใหม่ของผู้ชายที่ชื่อว่า รูดี้ การ์เซีย ได้เริ่มต้นอีกครั้งในปี 2013 แต่ในครั้งนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากในครั้งอื่น เนื่องจากเป็นครั้งแรกของเขาที่จะออกไปคุมทีมนอกประเทศบ้านเกิดของตัวเอง

ซึ่งประเทศที่เขาเลือกไปคุมทีมได้แก่ประเทศอิตาลี โดยเขาได้รับโอกาสให้ไปคุมทีมยักษ์ใหญ่อย่าง “หมาป่าแห่งกรุงโรม” โรม่า (AS Roma) อดีตแชมป์กัลโช่ เซเรียอา 3 สมัย

แม้ว่าจะเป็นการออกมาคุมทีมนอกบ้านเกิดตัวเองเป็นครั้งแรก แต่การไปคุมทีมที่ โรม่า ในฤดูกาลแรกของเขาดูจะมาไกลกว่าที่คาดหวังเอาไว้ รูดี้ การ์เซีย พาต้นสังกัดจบในอันดับที่ 2 ของตาราง ซึ่งในฤดูกาล 2013-14 นั้น โรม่า เป็นรองเพียง “ม้าลาย” ยูเวนตุส ทีมเดียวเท่านั้น โดยในปีนั้นลูกทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งเก็บคะแนนได้สูงถึง 102 คะแนน คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรียอา ไปครองได้สำเร็จ

ฤดูกาลถัดมา 2014-15 ฟอร์มการเล่นของ โรม่า ยังร้อนแรงไม่ต่างจากฤดูกาลก่อน รูดี้ การ์เซีย ทำทีมไม่แพ้ใครติดต่อกันยาวนานถึง 16 นัด แต่หลังจากจบฤดูกาล โรม่า ก็ยังเป็นได้แค่เพียง “พระรอง” เท่านั้น เนื่องจากเป็นทาง ยูเวนตุส เจ้าเก่าเจ้าเดิมที่คราวนี้เปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการทีมจาก อันโตนิโอ คอนเต้ มาเป็น มักซ์ อัลเลกรี แต่ก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงไม่มีตกเข้าวิน คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรียอา ได้อีกครั้ง

แต่ในฤดูกาล 2015-16 ด้วยฟอร์มการเล่นที่ตกลงไปจึงเป็นสาเหตุให้ เจมส์ ปาล็อตต้า ประธานสโมสร เลือกที่จะปลด รูดี้ การ์เซีย ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมช่วงเดือนมกราคม 2016 โดยมีแถลงการณ์ว่า “ผมขอขอบคุณ รูดี้ การ์เซีย สำหรับการทำงานหนักมาโดยตลอด พวกเรามีความสุขที่ท่านโชว์ผลงานในช่วงเวลาต่างๆที่ดีงามให้เกิดขึ้น แต่เราเห็นควรว่าถึงเวลาเหมาะสมที่สุดแล้วในขณะนี้ในการเปลี่ยนแปลง”

แม้ว่าคำพูดในการแถลงจะเป็นคำพูดที่ดีและสวยงาม แต่หากให้พูดถึงสถานการณ์ในตอนนั้นจะรู้กันได้ดีว่าไม่ได้สวยหรูเหมือนกับคำพูดที่กล่าวมายิ่งนัก เนื่องจาก รูดี้ การ์เซีย ไม่พอใจ บอร์ดบริหารและมักจะมีปัญหากันอยู่บ่อยครั้ง เพราะว่าสโมสรไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขา ในการเสริมนักเตะมากเท่าที่ควร เนื่องจาก รูดี้ การ์เซีย มองว่าต้องการงบประมาณที่เขานั้น ต้องการเพื่อที่จะนำไปต่อยอดทำให้ทีมประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรียอา ได้

หลังจากที่เจ้าตัวว่างงานได้ระยะหนึ่ง รูดี้ การ์เซีย ก็มีโอกาสได้กลับมาคุมทีมอีกครั้ง นั้นก็คือ 2 สโมสรชื่อดังของประเทศฝรั่งเศสอย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย (Olympique Marseille) ในปี 2016 และ โอลิมปิก ลียง (Olympique Lyon) ในปี 2019

แต่การกลับมาคุมในประเทศบ้านเกิดอีกครั้งของ รูดี้ การ์เซีย ในครั้งนี้ดูจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเหมือนกับตอนที่พา ลีลล์ เป็นแชมป์ลีกเอิง สักเท่าไหร่ จึงเป็นสาเหตุให้การกลับมาคุมทีมในบ้านเกิดครั้งนี้ หากใช้คำว่า “ล้มเหลว” ก็สามารถใช้คำนั้นออกมาได้ เนื่องจากการคุมทีม ดังทั้ง 2 ทีมที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ผลงานที่ดีที่สุดที่ รูดี้ การ์เซีย ทำได้นั้นคือพา โอลิมปิก มาร์กเซย จบอันดับที่ 4 และได้รองแชมป์ ยูโรป้า ลีก ในฤดูกาล 2017/18 นั้นเอง

แต่หลังจากที่ออกจาก โอลิมปิก ลียง ชื่อของ รูดี้ การ์เซีย ได้ถูกเสนอชื่อเข้าไปเป็นหนึ่งใน ตัวเลือกผู้จัดการทีมขัดตาทัพให้กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชร์ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ถูกเกิดขึ้นจริงเพราะว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจเลือกผู้จัดการทีม จอมเก๋าชาวเยอรมันอย่าง ราล์ฟ รังนิก ไปคุมทีมแทน

 

การรับมือกับซุปเปอร์สตาร์ชื่อดัง ?

รูดี้ การ์เซีย ออกเดินทางข้ามน้ำข้ามประเทศอีกครั้ง แต่การออกเดินทางในครั้งนี้ดูแตกต่าง จากตอนที่ไปคุม โรม่า ค่อนข้างมาก เนื่องจากเขาต้องไปคุมทีมดังในทวีปเอเชียอย่าง อัล นาสเซอร์ (AL Naasr) สโมสรเศรษฐีน้ำมันในประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่มีนักเตะชื่อดัง ระดับโลกอย่าง “CR7” คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อยู่ในทีม

รูดี้ การ์เซีย อยู่กับ อัล นาสเซอร์ ได้เพียง 9 เดือนเท่านั้นก่อนจะถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม โดยเขาไม่สามารถพาทีมทำตามที่บอร์ดบริหารนั้นคาดหวังเอาไว้ ด้วยการเป็นแชมป์ซาอุดิ โปรลีก ซึ่งในฤดูกาล 2022/23 อัล นาสเซอร์ จบอันดับด้วยการเป็นอันดับที่ 2 ของตารางตามหลัง อัล อิตติฮัด แชมป์ในฤดูกาล 2022/23 ถึง 5 คะแนน

แต่อีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนนอกสนามมองว่าการที่ รูดี้ การ์เซีย ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมนั้นไม่ใช่เหตุผลที่ไม่สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ได้ แต่เป็นเพราะว่าผู้จัดการทีม ชาวฝรั่งเศสรายนี้มักจะ “ไม่กินเส้น” กับ ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังของทีมอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 

โดย Marca สำนักข่าวชื่อดังในประเทศสเปนได้ออกมารายงานไว้ว่า รูดี้ การ์เซีย ผิดหวังกับผลงานนักเตะในทีมและต่อว่าอย่างรุนแรงภายในห้องแต่งตัวหลังจากจบการแข่งขันนัดที่อัล นาสเซอร์ บุกไปทำได้แค่เสมอกับทีมท้ายตารางอย่าง อัล เฟลา 0-0

ซึ่งตัวของ รูดี้ การ์เซีย มองว่าตัวลูกทีมไม่เล่นตามแท็คติกที่เขานั้นต้องการโดย รูดี้ การ์เซีย ได้ออกมาเผยว่า “นักฟุตบอลควรเล่นตามแท็คติกที่ผมนั้นวางเอาไว้ ไม่ใช่การเล่นเพื่อนักเตะคนเดียว”

“ผมบอกกับลูกทีมทุกครั้งว่าควรตัดสินใจให้ดีที่สุดในขณะที่อยู่ในสนาม แน่นอนว่าเรามี นักเตะที่ยอดเยี่ยมอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อยู่ในทีม แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายบอลให้กับเขา ตลอดเวลา เขาอยู่ในตำแหน่งที่ว่างหรืออยู่ในโอกาสที่เหมาะสมในการทำประตู ถึงค่อยจ่ายบอลให้กับเขา”

และยังมีออกมารายงานเพิ่มเติมอีกว่าตัวของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไม่ค่อยพอใจในการวาง แท็คติกการเล่นและแนวทางการทำทีมของ รูดี้ การ์เซีย สักเท่าไหร่ โดยเขามักจะแสดงสีหน้า และอาการไม่พอใจต่อตัวผู้จัดการทีมรายนี้ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

แม้ว่าหลังจากที่ รูดี้ การ์เซีย ถูกบอร์ดบริหารของทีมปลดออกจากสโมสร คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่ออกมาโพสต์ข้อความอำลาต่อ รูดี้ การ์เซีย ก็ตาม โดยคริสเตียโน่ โรนัลโด้ โพสต์ข้อความไว้ว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับคุณ ขออวยพรให้คุณพบเจอแต่สิ่งที่ดีในอนาคต”

โดยคนที่มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจาก รูดี้ การ์เซีย คือ ลูอิส คาสโตร ผู้จัดการทีมชาว โปรตุเกสวัย 62 ปี ที่ในภายหลังพา อัล นาสเซอร์ คว้าแชมป์อาหรับคลับ แชมป์เปี้ยน คัพ ฤดูกาล 2023 ไปครองด้วยการเอาชนะ อัล ฮิลาล 2-1

หลังจากที่ว่างงานได้ไม่นาน รูดี้ การ์เซีย ได้มีโอกาสกลับมาคุมทีมในประเทศอิตาลีอีกครั้งถือว่าเป็นการรีเทิร์นกลับมาคุมทีมในประเทศอิตาลีในรอบ 7 ปีของชายชื่อว่า รูดี้ การ์เซีย แต่การกลับมาในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

เนื่องจากเขาต้องไปรับไม้ต่อจาก ลูเซียโน สปัลเลตติ ผู้จัดการทีมจอมเก๋าที่ในฤดูกาลล่าสุดพา “อัซซูร่าแห่งเนเปิลส์” นาโปลี (Napoli) คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรียอา ได้ในรอบ 33 ปีของสโมสร เรียกได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้างยากเลยทีเดียวสำหรับ รูดี้ การ์เซีย ที่จะทำอย่างไรถึงจะพา นาโปลี ป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาล 2023/24 

ด้วยความกดดันที่ถาโถมใส่อย่างหนัก จึงเป็นสาเหตุให้ผลงานในช่วงต้นฤดูกาลของ นาโปลี ตกลงไปอย่างน่าใจหายปัจจุบัน นาโปลี อยู่ในอับดับที่ 5 ของตารางเก็บได้เพียง 14 คะแนนจากการลงสนามไปทั้งหมด 8 นัดตามหลัง “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน อยู่ถึง 7 คะแนน

แต่สิ่งที่เป็นจุดน่าสนใจมากที่สุดในขณะนี้นั้นคือการที่ รูดี้ การ์เซีย มักจะมีปัญหากับ นักเตะซีเนียร์ของทีมให้เห็นอยู่บ่อยครั้งเริ่มจาก ควิช่า ควารัตส์เคเลีย แนวรุกทีมชาติจอร์เจียที่แสดงอาการไม่พอใจให้เห็นในสนาม เนื่องจากเขาไม่พอใจในตัวของ รูดี้ การ์เซีย ที่ชอบเปลี่ยนตัวเขาออกจากสนาม และปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นของเขาให้แตกต่างไปจากฤดูกาลที่แล้ว จึงส่งผลให้ฟอร์มการเล่นของเจ้าตัวตกลงจากฤดูกาลที่แล้วไปพอสมควร 

แถมเจ้าตัวยังเคยโดน รูดี้ การ์เซีย ตำหนิผลงานในสนามต่อสาธารณะมาแล้วหนึ่งครั้งในการแถลงข่าวก่อนเกมที่ นาโปลี จะต้องลงสนามพบกับ โบโลญญ่า โดย รูดี้ การ์เซีย ออกมาพูดไว้ว่า “ผมหวังว่า ควิช่า จะทำประตูได้ในเร็วๆนี้ เขาควรเล่นตามสไตล์ของทีม ถ้าเขาคิดแต่จะยิงประตู เขาก็จะไม่สามารถทำประตูได้ และเขาควรมีภาษากายที่ดีกว่านี้ เขาควรมี ภาษากายที่ดีแม้ว่าในขณะนั้นจะต้องลงมาเล่นเกมรับก็ตาม”

รายต่อมาเป็น วิคตอร์ โอซิเมน ศูนย์หน้าจอมถล่มประตูของทีมที่ในฤดูกาลที่ผ่านมาทำประตูไปทั้งหมด 31 ประตูจากทุกรายการ เจ้าตัวมีปัญหากับ รูดี้ การ์เซีย ในนัดที่ นาโปลี ทำได้แค่ เสมอกับ โบโลญญ่า 0-0 โดยในเกมนัดดังกล่าว วิคตอร์ โอซิเมน สังหารจุดโทษไม่เข้านาทีที่ 72 ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ซึ่งดาวเตะชาวไนจีเรียออกอาการโมโหอย่างสุดขีดไม่จับมือกับ รูดี้ การ์เซีย รวมไปถึงหันไปพูดอะไรบางอย่างใส่ รูดี้ การ์เซีย ด้วยสีหน้าโมโห
 
รายต่อมาเป็น มาริโอ รุย แบ็คซ้ายจอมแอสซิสต์ของทีมที่เป็นตัวหลักในฤดูกาลที่แล้วมาโดยตลอด แต่หลังจากที่ รูดี้ การ์เซีย เข้ามาคุมทีมแบ็คซ้ายชาวโปรตุเกสรายนี้กลายเป็น ตัวเลือกอันดับสองในตำแหน่งแบ็คซ้ายของทีมรองจาก มาเธียส โอลิเวรา จนกระทั่ง มาริโอ กริฟเฟรดี้ เอเย่นต์ของตัวนักเตะเกิดความไม่พอใจอย่างมาก ออกมาต่อว่า รูดี้ การ์เซีย ไว้ว่า

“ผมรู้สึกว่า มาริโอ ไม่ได้รับการให้เกียรติจากตัวผู้จัดการทีม เขาคือหนึ่งในแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดใน กัลโช่ เซเรียอา ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มาริโอ มีความสำคัญต่อระบบของ นาโปลี ในปีที่แล้ว การเป็นแชมป์ของ คุณไม่เห็นหรอว่าการที่เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งฝั่งซ้ายพร้อมกันกับทาง ควิช่า มันน่ากลัวต่อฝั่งตรงข้ามขนาดไหน ผมคิดว่าการที่เขาถูกปฏิบัติแบบนี้เป็นการกระทำ ที่ไม่ให้เกียรติกัน”

หลังจากที่ เอเย่นต์ของ มาริโอ รุย ออกมาต่อว่าอย่างดุเดือด ทางด้าน รูดี้ การ์เซีย ได้ออกมาตอบกลับไว้ว่า “ผมคุยกับ มาริโอ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นคำพูด ของเอเย่นต์ที่พูดออกมา ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีมากต่อ มาริโอ เขาคือนักเตะคนสำคัญแน่นอนว่าเขาจะได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้น”

หลังจากนั้นไม่นาน มาริโอ กริฟเฟรดี้ ได้ออกมาตอบกลับอย่างดุเดือดอีกครั้งไว้ว่า “บ่อยครั้งเอเย่นต์มักถูกมองว่าเป็นมะเร็งร้ายในวงการฟุตบอล แต่สำหรับผมในการทำหน้าที่การเป็นเอเย่นต์ ผมมีความเป็นมืออาชีพในการดูแลลูกค้าของผม ผมต้องปกป้องลูกค้าของผม สิ่งที่ผมพูดทุกอย่างมีแต่เรื่องจริงในทุกเรื่อง และผมมาจากเมืองเนเปิลส์ ผมเชียร์สโมสรนี้มาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ผมพร้อมทำประโยชน์ให้ทีมประจำเมืองของผมเสมอ”

“รูดี้ การ์เซีย พูดในการแถลงข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับ มาริโอ รุย ผมขอพูดเลยว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด ทำไมเขาถึงไม่พา มาริโอ มาแถลงข่าวไปด้วยเลย มาริโอ จะได้พูดความจริงทั้งหมดไปเลย”

ผมไม่เคยเจอผู้จัดการทีมคนไหนทำให้นักเตะและเอเย่นต์ทะเลาะกัน มาริโอ รุย คือหนึ่งในลูกค้าคนแรกของผม ผมดูแลเขาในฐานะเอเย่นต์มา 13 ปีผมและ มาริโอ เปรียบเสมือนพี่น้องคนในครอบครัวเดียวกัน รูดี้ การ์เซีย เล่าเรื่องโกหกทั้งหมดเขาเปรียบเสมือนเด็กเลี้ยงแกะ ซึ่งผมได้คุยกับทาง มาริโอ เป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการออกมาพูดในครั้งนี้ และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ห้ามผมที่จะออกมาสัมภาษณ์ความจริงทั้งหมดในครั้งนี้”

และรายสุดท้ายเพิ่งจะผ่านมาในนัดล่าสุดที่ นาโปลี เปิดบ้านแพ้ให้กับ ฟิออเรนติน่า 1-3 นั่นคือ มัตติโอ โปลิตาโน่ กองกลางวัย 30 ปีของทีมที่ยกมือแสดงอาการไม่พอใจใส่ รูดี้ การ์เซีย หลังจากถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงต้นครึ่งเวลาหลัง

โดยหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ออเรลิโอ เด เลาเรนติส ประธานสโมสร นาโปลี ได้เข้ามาพูดคุยกับทาง รูดี้ การ์เซีย ถึงปัญหาภายในทีมทั้งในและนอกสนามทั้งหมด ถึงแม้ว่า รูดี้ การ์เซีย จะทำผลงานได้ไม่ตรงกับเป้าหมายที่วางเอาไว้ แต่ทาง ออเรลิโอ เด เลาเรนติส มองว่ายังต้องให้เวลาและโอกาสกับทาง รูดี้ การ์เซีย และมองว่าตัวเขาเองเป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ผลงานของ นาโปลี ในปัจจุบันฟอร์มไม่ดีเหมือนกับที่ผ่านมา เพราะว่าเขาไม่ได้ซัพพอร์ตและเทคแคร์ รูดี้ การ์เซีย เท่าที่ควร

แม้ว่า ออเรลิโอ เด เลาเรนติส จะออกมาพูดถึงสถานการณ์ของ รูดี้ การ์เซีย กับ นาโปลี ไว้ว่า จะยังได้รับโอกาสอีกต่อไป แต่สื่อหลายสำนักในประเทศอิตาลีมองว่า รูดี้ การ์เซีย จะยังคงเป็นเต็ง 1 ผู้จัดการทีมที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งในเวลานี้ โดยตัวเลือกที่จะเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมต่อจาก รูดี้ การ์เซีย ได้แก่ อันโตนิโอ คอนเต้ , อิกอร์ ทูดอร์ , มาร์เซโล่ กัลยาร์โด้ และ ฆูเลน โลเปเตกี

ต้องมารอดูกันว่า รูดี้ การ์เซีย จะได้รับโอกาสหน้าที่ผู้จัดการทีมกับ นาโปลี ไปอีกนานสักเท่าไหร่

แต่สิ่งหนึ่งเลยที่สังเกตได้จากผู้ชายคนนี้คือ เขาเป็นผู้จัดการทีมที่เก่งคนหนึ่งในโลกฟุตบอลเขามีกลยุทธ์แท็คติกที่น่าสนใจ 

ถ้าเขาไม่เก่งจริงเขาคงไม่ถูกทาบทามให้ไปคุมสุดยอดทีมจากเกาะอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

ถ้าหากเขาไม่เก่งจริงเขาคงไม่ได้รับฉายาให้เป็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แห่งประเทศฝรั่งเศส 

และสิ่งที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเขาคือสุดยอดผู้จัดการทีม คือการที่ เขาสามารถพา ลีลล์ คว้าแชมป์ลีกเอิง ได้ทั้งที่ในประเทศฝรั่งเศสเวลานั้นต่างมีสุดยอดทีม เยอะแยะมากมาย

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถามสำหรับตัวเขานั้นคือ ความหัวแข็งหรืออีโก้ในตัวของเขา ที่มักจะมีปัญหาอยู่โดยตลอดกับทั้ง ประธานสโมสร , ซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง หรือแม้กระทั่งเอเย่นต์ของนักเตะ เชื่อว่าถ้าเขาสามารถหาวิธีรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้ดีขึ้น เขาจะเป็นอีกหนึ่งผู้จัดการทีมที่ถูกยกย่องและถูกเชิดชูในด้านบวกมากกว่านี้

 

แหล่งอ้างอิง : 

https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/cristiano-ronaldo-rudi-garcia-sacked-26694395
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11963843/Cristiano-Ronaldos-Al-Nassr-manager-Rudi-Garcia-risk-dismissed-Saudi-side.html
https://sportmob.com/en/article/971849-rudi-garcia-biography
https://football-italia.net/garcia-napoli-fans-behind-me-kvaratskhelia-must-stop-looking-for-goals/
https://total-italianfootball.com/rudi-garcia-napoli-problems-osimhen-mario-rui-sacked/
https://en.wikipedia.org/wiki/Rudi_Garcia
https://www.transfermarkt.com/rudi-garcia/profil/trainer/1537
https://www.mainstand.co.th/th/features/5/article/3770
https://www.facebook.com/NapoliThailandFC



Source link

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *