ลิโอเนล เมสซี vs เออร์ลิง ฮาลันด์ : ใครมีโอกาสคว้าบัลลงดอร์ 2023 มากกว่า?
หลังจากมีการเปิดโผ 30 ผู้เล่นที่มีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลลูกฟุตบอลทองคำหรือว่า บัลลงดอร์ ปี 2023 ออกมา นั่นก็ทำให้หลาย ๆ ฝ่ายต่างตามลุ้นกันว่านักเตะคนไหนที่จะคว้ารางวัลในปีนี้ไปครอง
แต่แน่นอนว่า ตัวเต็งสำหรับทางฝั่งของนักฟุตบอลชาย คงจะหนีไม่พ้น 2 กองหน้าที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันในปีที่ผ่านมาอย่าง ลิโอเนล เมสซี และ เออร์ลิง ฮาลันด์
แล้วถ้าหากวัดกันตามผลงานจริง ๆ แล้ว ระหว่างนักเตะ 2 คนนี้ ใครสมควรที่จะได้รางวัลบัลลงดอร์มากกว่ากัน? ตามวิเคราะห์ไปพร้อมกับเรา The Sporting News Thailand ได้ที่นี่
ร่วมเล่นสนุก ชิงรางวัลกับการแข่งขันฟุตบอลประจำวันได้ที่นี่
ลิโอเนล เมสซี
ฤดูกาลนี้ ลิโอเนล เมสซี ยังคงเป็นกำลังหลัก และแข้งคนสำคัญของเปแอชเช อยู่เสมอ แม้จะไม่สามารถช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สมัยแรกมาครองได้เสียที แต่ผลงานในสนามของแข้งวัย 35 ยังคงโดดเด่น
มีสถิติมีส่วนร่วมในการทำประตูอย่างน้อยนัดละ 1 ประตู และคว้าแชมป์ร่วมกับทีมได้ 2 รายการ
อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของ เมสซี ในฤดูกาลนี้ และเป็นตัวดึงคะแนนในการตัดสินบัลลงดอร์ได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือเขาพาบ้านเกิดของเขาอย่าง อาร์เจนติน่า เป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 พร้อมรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ได้อย่างยิ่งใหญ่
สถิติของ ลิโอเนล เมสซี ฤดูกาล 2022-23
ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
- ลงสนาม 41 นัด
- 21 ประตู
- 20 แอสซิสต์
ความสำเร็จ
- แชมป์ฟุตบอลโลก
- แชมป์ลีกเอิง
- แชมป์โทรเฟ่ เดส์ ช็องปิยงส์
รางวัลส่วนตัว
- นักเตะยอดเยี่ยมฟุตบอลโลก 2022
ทำไม ลิโอเนล เมสซี ถึงสมควรได้ บัลลงดอร์?
ด้วยความมหัศจรรย์ที่เขาได้สร้างไว้ในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาสมควรที่จะได้รับรางวัลบัลลงดอร์ในปีนี้ เนื่องจากต้องบอกว่าเขาคือหัวใจของทีมอย่างแท้จริง จนถึงขั้นสามารถพูดได้ว่า หากทีมฟ้าขาวไม่มี เมสซี อยู่ในช่วงเวลานั้น พวกเขาคงจะไม่สามารถเป็นแชมป์โลกได้
แต่ในขณะที่ผลงานในระดับสโมสรเมื่อฤดูกาล 2022-2023 แม้จะไม่ได้พาทีมประสบความสำเร็จมากมายเท่า เออร์ลิง ฮาลันด์ แต่ เมสซี ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการกดไป 21 ประตูกับอีก 20 แอสซิสต์ พร้อมพาทัพปารีเซียงคว้าแชมป์ในประเทศได้ 2 รายการ
เออร์ลิง ฮาลันด์
ถ้าจะบอกว่า เออร์ลิง ฮาลันด์ คือกุญแจแห่งความยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็คงไม่ผิดนัก เพราะ ฮาลันด์ แทบไม่ต้องปรับตัวใด ๆ ทั้งสิ้น กับการเล่นพรีเมียร์ลีกปีแรก นอกจากนั้นเขายังทำลายอีกหลายต่อหลายสถิติของพรีเมียร์ลีก และปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัลดาวซัลโวของลีกที่จำนวน 36 ประตู
และที่สำคัญเขาได้เปลี่ยนยุโรปให้กลายเป็นสีฟ้า หลังเป็นส่วนสำคัญในการพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทริปเปิ้ลแชมป์ ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกของสโมสรอีกด้วย
สถิติของ เออร์ลิง ฮาลันด์ ฤดูกาล 2022-23
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
- ลงสนาม 53 นัด
- 52 ประตู
- 9 แอสซิสต์
ความสำเร็จ
- แชมป์พรีเมียร์ลีก
- แชมป์เอฟเอ คัพ
- แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
รางวัลส่วนตัว
- ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 36 ประตู
- ดาวซัลโว ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 13 ประตู
ทำไม เออร์ลิง ฮาลันด์ ถึงสมควรได้ บัลลงดอร์?
ถ้าพูดกันตรง ๆ แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะไม่ได้มี เออร์ลิง ฮาลันด์ ในฤดูกาลก่อน ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะยังเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จได้อยู่ เนื่องจากในทีมมีนักเตะระดับประดับอยู่ทุกตำแหน่ง แต่เชื่อว่าหากไม่มีกองหน้าชาวนอร์เวย์ ทีมเรือใบสีฟ้า ก็คงไม่สามารถที่จะสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยแรก และเก็บเทรเบิลแชมป์ได้
กล่าวคือ ฮาลันด์ เหมือนกับกุญแจสำคัญที่มาปลดล็อคอาถรรพ์ของ แมนฯ ซิตี้ ในการประสบความสำเร็จในเวทียุโรป นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าหาก ฮาลันด์ จะเป็นคนที่คว้ารางวัลนี้ไปครอง ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร
วิธีคิดคะแนนรางวัลบัลลงดอร์เป็นอย่างไร?
ทาง ฟร้องซ์ ฟุตบอล จะให้สิทธิ์การโหวตคะแนนแก่สื่อใน 100 ประเทศตามการจัดอันดับของฟีฟ่า แรงกิ้งสำหรับฟุตบอลชาย และ 50 ประเทศตามการจัดอันดับของฟีฟ่า แรงกิ้งของฟุตบอลหญิง
โดยสื่อที่ได้รับสิทธิ์การโหวตรางวัลนี้ จะต้องเลือกนักเตะมา 5 คนและทำการจัดอันดับให้กับพวกเขาว่าคนไหนเหมาะสมที่จะได้รับรางวัลนี้ไปมากที่สุด
ซึ่งเกณฑ์การให้การโหวตที่พวกเขาต้องนึกถึงอยู่ตลอดนั้นมีอยู่ 3 ข้อ ได้แก่
1. ผลงานส่วนตัวของนักเตะคนนั้น ๆ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
2. ความสำเร็จของทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
3. พฤติกรรมของผู้เล่นคนนั้น ๆ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว