เมสซี มาราคานา และการกลับมาครั้งสุดท้าย – THE STANDARD

0


ก่อนหน้านี้ ลิโอเนล เมสซี เคยมาเยือน ‘มาราคานา’ มาแล้ว 2 ครั้งด้วยกันครับ

 

ครั้งหนึ่งจบลงด้วยความหมองหม่น

 

อีกหนึ่งครั้งจบลงด้วยความรู้สึกได้รับการปลดปล่อย

 

พอจะเรียกได้ว่าชามอ่างยักษ์ระดับตำนานแห่งนี้ถือเป็นสนามแห่งความทรงจำของราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ได้เลยทีเดียว

 

อย่างไรก็ดี ในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ (ตามเวลาในบ้านเรา) เมสซีจะนำอาร์เจนตินาลงสนามที่มาราคานาอีกครั้ง ถือเป็นครั้งที่ 3 ของชีวิตที่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย

 

โดยที่มี ‘ความหมาย’ พิเศษบางอย่างที่ใครหลายคนเฝ้าจับตามองอยู่

 

เมสซีทำได้เพียงแค่มองและเดินผ่านถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกในเกมที่มาราคานาเมื่อปี 2014

 

ภาพของเมสซีที่ทำได้เพียงมองถ้วย FIFA World Cup หรือถ้วยฟุตบอลโลก ที่อยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือหลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 เป็นหนึ่งในภาพความทรงจำแห่งชีวิตของนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ เทียบเท่ากับ เปเล่ และ ดิเอโก มาราโดนา

 

ครั้งนั้นเมสซีอยู่ในวัย 25 ปี กำลังสดและอยู่ในช่วงต้องการพิสูจน์ตัวเอง

 

สิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยากจะพาอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกให้ได้ เหมือนที่มาราโดนาเคยพา ‘เบียงคิเชเลสเต’ ผงาดคว้าแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่ในฟุตบอลโลก 1986 ที่สนามอัซเตกา ประเทศเม็กซิโก

 

การพิสูจน์นั้นส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความทะเยอทะยานและความฝันส่วนตัว

 

อีกส่วนเป็นเรื่องของแรงกดดันจากคำถามของคนภายนอก ที่แม้จะเป็นนักฟุตบอลที่ดูสงบและเยือกเย็นอย่างเมสซี คำถามว่า “เมื่อไรจะพาอาร์เจนตินาคว้าแชมป์โลกได้” ก็สร้างแรงกดดันให้กับเขาหนักหนาสาหัส

 

เมื่อ 9 ปีที่แล้วเมสซีจึงหวังว่าเขาจะมีโอกาสพาทีมคว้าแชมป์โลก ทั้งเพื่อตามรอยของมาราโดนาและเพื่อสร้างตำนานบทใหม่ของตัวเอง

 

ความพิเศษของฟุตบอลโลกในครั้งนั้นคือมันจัดขึ้นที่บราซิล ประเทศที่เป็นคู่รักคู่แค้นชิงดีชิงเด่นโดยเฉพาะในด้านเกมลูกหนังกันมานาน

 

สำหรับคนอาร์เจนตินา หากคว้าแชมป์โลกได้ที่มาราคานา สังเวียนแข้งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต่างอะไรจากการได้โบนัสสองชั้น

 

เพียงแต่ประตูในช่วงการต่อเวลาพิเศษของ มาริโอ เกิตเซ ทำให้เมสซีและชาวอาร์เจนตินาทุกคนต้องอกหัก

 

ความเจ็บปวดจากการพ่ายแพ้ในเกมนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตของเมสซีอย่างมากมายมหาศาล ไม่ต่างอะไรจากการโดนคำสาปเลยทีเดียว

 

ที่บอกแบบนั้นเพราะหลังจากวืดคว้าแชมป์ในครั้งนั้น เมสซียังเจอฝันร้ายต่อในนัดชิงชนะเลิศรายการระดับทวีปอย่างโคปา อเมริกา ซึ่งพ่ายแพ้ให้แก่ชิลีถึง 2 ปีซ้อนในปี 2015 และ 2016 (เป็นปีที่จัดขึ้นเป็นพิเศษในวาระครบรอบ 100 ปีของการแข่งขัน)

 

การแพ้นัดชิงแบบ ‘แฮตทริก’ ทำให้เมสซีทนรับความผิดหวังไม่ไหวถึงขั้นประกาศอำลาทีมชาติเลยทีเดียว

 

เขาถูกตีตราว่าเป็นผู้ล้มเหลวไม่พอ ยังเจ็บกว่ากับการถูกตราหน้าว่าไม่ได้เป็นคนอาร์เจนไตน์

 

เหตุผลของคนที่โจมตี เป็นเพราะเมสซีไม่ได้ผ่านการเล่นฟุตบอลระดับอาชีพในบ้านเกิด เพราะชีวิตของเขาโชคชะตาได้นำพาให้ไปยุโรป มาอยู่กับบาร์เซโลนา (ด้วยความจำเป็น) ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของพ่อมดลูกหนังร่างน้อย

 

ทั้งๆ ที่ในความรู้สึกของเมสซี เขาภูมิใจกับสายเลือดคนอาร์เจนตินา ภูมิใจกับการที่เกิดและเติบโตที่โรซาริโอ เมืองเดียวกับ มาร์เซโล บิเอลซา ปราชญ์ลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ และสำหรับเขาแล้วการได้พยายามเพื่อให้อาร์เจนตินาประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องที่มีความหมายมากกว่าการคว้าแชมป์กับสโมสรหรือการประสบความสำเร็จในรางวัลส่วนตัว

 

เมสซีทรุดตัวลงกับพื้น หลังอาร์เจนตินาคว้าแชมป์โคปา อเมริกา 2021 ได้ที่สนามมาราคานา 

 

ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้การกลับมาราคานาครั้งที่ 2 ของเมสซีกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเมสซี

 

ความจริงแล้วในวัย 34 ปีที่เริ่มโรยราลงไปมาก อีกทั้งสภาพทีมอาร์เจนตินาที่ไม่ได้อุดมไปด้วยดาวดังระดับซูเปอร์สตาร์เหมือนในอดีต และมีโค้ชมือใหม่อย่าง ลิโอเนล สคาโลนี คุมทัพ

 

ไม่มีใครคาดหวังว่าเมสซีจะพาอาร์เจนตินาประสบความสำเร็จในรายการโคปา อเมริกา 2021

 

แต่ปรากฏว่าเมสซีและอาร์เจนตินาทำผลงานกันได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถทะลุเข้ามาชิงกับทีมชาติบราซิล ชาติเจ้าภาพได้ และกลายเป็นเกมนัดชิงชนะเลิศที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกต่างจับตา

 

เพราะนี่คือเกมบราซิลปะทะอาร์เจนตินา

 

และนี่คือการดวลกันอีกครั้งระหว่างเนย์มาร์กับเมสซี

 

ก่อนหน้าที่จะลงสนาม เมสซีได้ขอใช้โอกาสในฐานะกัปตันทีมกล่าวปลุกใจทุกคน ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในการกล่าวที่ดีที่สุดของนักเตะที่ขณะนั้นยังเป็นราชาผู้มีมงกุฎแต่ไร้บัลลังก์ ที่ขอยกมาทั้งหมดดังนี้

 

“เราต่างรู้กันดีว่าเราคือใครและบราซิลคือใคร ผมไม่ขอพูดอะไรมากในเรื่องนี้ ผมแค่อยากขอบคุณทุกคนสำหรับช่วงเวลา 45 วันที่ผ่านมา

 

“ผมเคยพูดไว้ในวันคล้ายวันเกิดของผมแล้วว่านี่คือกลุ่มที่พิเศษ กลุ่มที่สวยงาม เราทุ่มเทกันอย่างหนักตลอด 45 วันที่ผ่านมาโดยที่เราไม่ได้บ่นกันเลยในเรื่องของการเดินทาง เรื่องอาหาร เรื่องโรงแรมที่พัก หรือเรื่องสนาม ไม่เลย

 

“45 วันที่ผ่านมาเราไม่ได้พบกับครอบครัวของพวกเราเลย ใน 45 วันนี้…เอล ดิบู (เอมิลิโอ มาร์ติเนซ) เพิ่งจะเป็นพ่อคนและเขาก็ไม่สามารถไปพบกับลูกที่เพิ่งเกิดได้ ทำไม? ก็เพราะช่วงเวลานี้ไงทุกคน

 

“เรามีเป้าหมายและเราก็อยู่ห่างจากมันแค่ก้าวเดียว และสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการที่ทุกอย่างมันอยู่ในมือของเรา

 

“ดังนั้นเราจะลงสนามไปลุยเพื่อจะได้ชูถ้วยแชมป์ให้ได้ เราจะเอามันกลับไปบ้านที่อาร์เจนตินาและได้มีความสุขร่วมกับครอบครัว กับเพื่อน และกับทุกคนที่เชียร์อาร์เจนตินา

 

“และผมอยากจะขอปิดท้ายด้วยเรื่องนี้ ความบังเอิญมันไม่มีอยู่จริง ความจริงแล้วทัวร์นาเมนต์นี้ต้องเล่นที่อาร์เจนตินา แต่ทำไมรู้ไหม? เพราะพระเจ้านำพามันมาที่นี่ เพื่อให้เราได้ชนะที่มาราคานา เพื่อพวกเราทุกคน ดังนั้นจงลงสนามไปด้วยความมั่นใจ ด้วยจิตใจที่เยือกเย็น และเอาแชมป์มาให้ได้ ไปลุยกันทุกคน!”

 

เป็นอย่างที่เมสซีบอก ความจริงโคปา อเมริกา 2021 ต้องจัดที่อาร์เจนตินา แต่ด้วยสถานการณ์โควิดที่ยังระบาดรุนแรง มีคนเสียชีวิตถึงกว่า 7 แสนคน ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าภาพในนาทีสุดท้าย ซึ่งบราซิลขอเสนอตัวเข้ามา

 

นั่นทำให้เกมนัดชิงชนะเลิศต้องมีขึ้นที่มาราคานา สนามที่เคยเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดของเขา

 

แต่สุดท้ายอาร์เจนตินาก็คว้าแชมป์มาครองได้ในที่สุด โดยที่แม้เมสซีจะไม่ได้เล่นได้โดดเด่นอะไร แต่ยังมี อังเคล ดิ มาเรีย นักเตะคู่บุญที่ทำประตูชัย, โรดริโก เด พอล มิดฟิลด์คู่ขวัญที่เป็น ‘องครักษ์พิทักษ์เมสซี’ ปกป้องเขาทุกสถานการณ์ และ ‘ดิบู’ มาร์ติเนซ ที่เป็นฮีโร่ตั้งแต่รอบก่อนที่เซฟจุดโทษพาทีมเข้าชิงฯ

 

ทุกคนช่วยกันพาเมสซีไปถึงแชมป์ และภาพของเขาที่ทรุดตัวลงกับพื้นหลังจากสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

แม้ว่าวันนั้นจะไม่มีแฟนฟุตบอลอาร์เจนตินาอยู่ในสนามเลยแม้แต่คนเดียว แต่เมสซีทำสิ่งที่เขาถวิลหามาตลอดได้แล้ว และสิ่งนั้นยิ่งใหญ่กว่าแค่เรื่องของการชนะในสนามเพื่อคว้าแชมป์

 

แต่เป็นการเอาชนะใจคนอาร์เจนตินาได้

 

ความทรงจำที่ 2 ในมาราคานาจึงเป็นความทรงจำล้ำค่าที่ลบล้างช่วงเวลามืดมนอนธการของเมสซีลงได้

 

ก่อนที่เมสซีซึ่งเป็นอิสระทางความรู้สึก ปราศจากพันธนาการทั้งปวง จะทำให้ ‘คำทำนาย’ กลายเป็นความจริง ด้วยการนำอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้สำเร็จเมื่อปีกลาย

 

 

มาถึง ณ เข็มนาฬิกาเดินไป เมสซีกำลังจะได้กลับมาเยือนมาราคานาเป็นคำรบที่ 3 และเชื่อว่ามันอาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ลงเล่น ณ ชามอ่างยักษ์แห่งนี้

 

การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเกมที่มีเดิมพันอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนั้นสำหรับตัวของเขาเอง เพราะมันเป็นเพียงแค่เกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนลาตินอเมริกา ธรรมดาๆ เท่านั้น

 

หากจะมองหาเรื่องราว น้ำหนักอาจจะเทไปอยู่กับฟากของเจ้าบ้านบราซิลที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำอย่างหนัก พวกเขาไม่ชนะมาติดต่อกัน 3 นัดโดยไม่มีโค้ชอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ เป็น เฟร์นันโด ดินิซ นายใหญ่ฟลูมิเนนเซที่เข้ามารับหน้าเสื่อแทนระหว่างที่รอโค้ชคนใหม่ที่เชื่อว่าจะเป็น คาร์โล อันเชล็อตติ ที่จะมาเมื่อหมดสัญญากับเรอัล มาดริด หลังจบฤดูกาลนี้

 

ขณะที่อาร์เจนตินาแม้จะแพ้เป็นแล้วด้วยน้ำมือของอุรุกวัย (ด้วยกลหมากของบิเอลซา) แต่เส้นทางรอบคัดเลือกของพวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอะไรมากมายนัก

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดไม่ได้อยู่กับเรื่องของการฟาดฟันในสนาม

 

แต่เป็นปฏิกิริยาของแฟนฟุตบอลชาวบราซิลที่จะเข้ามาเชียร์กันเต็มมาราคานาในเกมนี้


ว่ากันว่ามันจะเป็นเกมที่แฟนบอล ‘เซเลเซา’ จะ ‘รับรอง’ สถานะราชาลูกหนังของเมสซี

 

แม้บราซิลกับอาร์เจนตินาจะไม่ได้ญาติดีกันนักในวันวาน แต่กับเมสซีพวกเขาไม่ได้รังเกียจ ในทางตรงกันข้ามกลับให้การยอมรับและนับถือ

 

ทั้งในฐานะมิตรแท้ของเนย์มาร์ นักเตะอันดับหนึ่งในใจ

 

ในฐานะของคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ที่เป็นเหมือนตัวแทนของทวีปที่พาทีมคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จในยุคสมัยที่ทีมจากลาตินตกต่ำลง เพราะสู้กับอำนาจเงินของฝ่ายยุโรปไม่ไหว

 

และในฐานะคนที่ไม่เคยยอมแพ้และทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้สำเร็จ

 

ดังนั้นถ้าเกิดเมสซีได้รับการยอมรับด้วยเสียงปรบมือจากแฟนบราซิลในสนามาราคานาจริง มันจะเป็นหนึ่งในเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตสำหรับตัวเขาเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีถ้วยรางวัลใดๆ

 

คนอาร์เจนตินาได้เป็นราชาลูกหนังที่มาราคานา

 

จะมีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านี้?





Source link

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *