โชต้า ลงเป็นยิง,เอ็นโด เปิดซิง! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ไล่ขยี้ ตูลูส นิ่มเท้า
1. หงส์ส่งเจ้าหนู แชมเบอร์ส ประเดิมตัวจริง
คล็อปป์ กุนซือทีม ลิเวอร์พูล ปรับทัพมากถึงแปดรายจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดพิชิต เอฟเวอร์ตัน 2-0 เมื่อวันเสาร์ แต่ที่ฮือฮาที่สุด ลุค แชมเบอร์ส แบ็คซ้ายวัย 19 ปีได้รับโอกาสให้ประเดิมสนามเป็นตัวจริงเกมแรกกับสโมสรแทนที่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่ผ่าไหล่ ขณะที่ คอสตาส ซิมิคาส มีชื่อนั่งข้างสนาม
พร้อมกันนี้ คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของทีมเจ้าบ้านเปลี่ยนมาเป็น โฌแอล มาติป กับ โจ โกเมซ ส่วนในแดนกลาง วาตารุ เอ็นโด ได้ลงบู๊ร่วมกับ เคอร์ติส โจนส์ และ ไรอัน กราเฟนแบร์ค
สำหรับสามหัวหอก นายใหญ่ด๊อยทช์เลือกพัก โม ซาลาห์ เป็นตัวสำรองร่วมกับ โคดี้ กัคโป ทีฟิตสมบูรณ์แล้วโดยมี ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ประสานงานกับ ดีโอโก้ โชต้า และ ดาร์วิน นูนเญซ
2. ตูลูส ชุดเดิมเปลี่ยนแค่ตำแหน่งเดียว
สำหรับ ตูลุส บุกมาเยือน แอนฟิลด์ ด้วยการเปลี่ยนนักเตะตัวจริงรายเดียวเท่านั้นจากเกม ลีกเอิง นัดเสมอกับ แรงส์ 1-1 โดย มุสซ่า ดิยาร์ร่า ปราการหลังทีมชาติ มาลี ได้แทนที่ เซซาร์
กระนั้นก็ดี แม้ ตูลูส จะมีผลงานไม่สู้ดีในลีกโดยรั้งอันดับ 10 ของอันดับตารางล่าสุด แต่ในเกม ยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม พวกเขายังไม่แพ้ใครจากการลงสนามสองเกมแรกโดยมีผลงานชนะและเสมออย่างละนัด
3. สามสตาร์เรียงหน้าซัด
เริ่มเกมแค่ 9 นาที ลิเวอร์พูล ก็ได้ประตูนำอย่างรวดเร็วจากฝีเท้าของ ดีโอโก้ โชต้า ที่โชว์ลีลาลากบอลแหวกสองตัวประกบเข้าซัดอย่างเหนือชั้นซึ่งเป็นอีกครั้งที่ชี้ให้เห็นว่าดาวเตะเลือดฝอยทองเป็นจอมล่าตาข่ายที่ใช้โอกาสไม่เปลืองเลย และเป็นประตูที่แปดในเจ็ดนัดหลังที่เจ้าตัวได้ลงบู๊รายการนี้ด้วยโดยก่อนเกมนี้ โชต้า ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงแค่สามนัดเท่านั้น แต่มีค่าเฉลี่ยยิงได้ทุกประตูในเวลา 66 นาทีสำหรับถ้วยใบนี้
อีกทั้งไม่ว่าจะลงเล่นรายการไหน โชต้า สามารถสอยตาข่ายได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก , ลีกคัพ ,ยูโรปาลีก หรือแม้กระทั่งฟุตบอล ยูโร 2024 รอบคัดเลือกซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นที่พึ่งของทีมได้เสมอในเรื่องของการทำประตู
สำหรับ ตูลูส แม้จะทวงสกอร์คืนได้เร็วในนาทีที่ 16 จากดาวเตะดัตช์ ไธจ์ส ดัลลิงก้า แต่ด้วยฟอร์มที่เหนือกว่าบานเบอะ ลิเวอร์พูล มายิงเพิ่มได้อีกสองประตูจาก เอ็นโด ซึ่งเบิกสกอร์แรกกับ หงส์แดง จนได้ในนาทีที่ 30 จากลูกโขกที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ตักมาให้แม้กองกลางทีมชาติ ญี่ปุ่น จะไม่ได้มีรูปร่างที่สูงใหญ่ แต่ก็เช็กบิลเม็ดนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมดีแท้ก่อนที่ นูนเญซ จะไม่ยอมน้อยหน้ามาเข่นเม็ดสามได้ในอีกสี่นาทีต่อมาซึ่งเป็นประตูแรกของสตาร์ทีมชาติ อุรุกวัย ที่คลำเป้าให้ เร้ด แมชีน ได้ในเวลาเกินกว่าหนึ่งเดือนอันแสดงให้เห็นว่าพ่อค้าแข้งอเมริกาใต้ยังแก้ไขจุดบกพร่องการใช้โอกาสเปลืองไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ลิเวอร์พูล จะมีอานุภาพทำลายล้างที่น่าเกรงขามกว่านี้อีกหลายเท่า
4. นูนเญซ เรียกเสียงฮา
อย่างที่เพิ่งบอกไปแหม็บว่า นูนเญซ ยังเป็นกองหน้าที่ใช้โอกาสเปลืองไม่เลิกนับตั้งแต่ถูก ลิเวอร์พูล คว้าตัวมาร่วมทีมทั้งๆที่เขามีคุณสมบัติของการเป็นยอดดาวซัลโวครบเครื่องทั้งสรีระ ความแข็งแกร่ง ความเร็ว การหาตำแหน่ง และ ฯลฯ แต่เป็นเรื่องน่าฉงนไม่น้อยที่เจ้าตัวมักทิ้งโอกาสทองให้เห็นเป็นประจำรวมถึงจังหวะเหน่งๆในครึ่งหลังของเกมนี้ด้วย
อันที่จริง กาเบรียล ซูอาโซ่ ดาวเตะ ตูลูส น่าจะสอยตาข่ายให้ทีมเยือนไล่ตีตื่นเป็น 3-2 ได้ด้วยซ้ำในช่วงต้นครึ่งหลังจากจังหวะที่ ควีวิน เคลเลเฮอร์ จ่ายบอลพลาด แต่กองหลังทีมชาติ ชิลี กลับซัดไปกระทบ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่ยืนจังก้าขวางหน้าปากประตูซะเองซึ่งถือเป็นความผิดพลาดอย่างแรงชนิดอภัยให้ไม่ได้
อย่างไรก็ดี ผ่านมาในนาทีที่ 65 นูนเญซ กลบจังหวะทำหมูหกของ ซูอาโซ่ ไปซะหมดเมื่อรับลูกผ่านแล้วหลุดไปลากหลบกองหลังรวมทั้งนายทวารได้อย่างหล่อ แต่สุดท้ายกลับตะบันไปชนเสาซะอย่างนั้นทั้งๆที่จังหวะแบบนี้ต้องใส่สกอร์สถานเดียวเนื่องจากไม่มีใครขวางหน้าประตูอีกแล้วจึงเป็นการตอกย้ำเครื่องหมายการค้าประจำตัวของศูนย์หน้าค่าตัวแพงเพิ่มไปอีก แถมหลังบอลกระดอนเสาออกมา ไรอัน กราเฟนแบร์ค แสดงให้ นูนเญซ เห็นอีกต่างหากว่าจังหวะจบสกอร์ที่ดีต้องทำยังไงกับการเก็บตกให้ ลิเวอร์พูล นำห่างเป็น 4-1
5.ซาลาห์ โชว์เหนือ
นอกจาก กราเฟนแบร์ก ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในเกมนี้จะเช็กบิลได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว โม ซาลาห์ ซึ่งถูกส่งลงไปแทนดาวเตะดัตช์ก็แสดงให้ นูนเญซ เห็นเช่นกันว่าเขาเป็นตัวคีย์แมนความหวังอันดับหนึ่งของ ลิเวอร์พูล ที่สตาร์ทีมชาติ อุรุกวัย ไม่อาจแทนที่ได้จากจังหวะโชว์ความเหนือชั้นซัดลูกปิดกล่องในช่วงทดเวลานาทีสุดท้ายช่วยให้ เร้ด แมชีน กำชัยด้วยสกอร์ 5-1
อันที่จริง เกมนี้ ซาลาห์ น่าจะได้รับภาระกัปตันทีม ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ต้นเกมเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยซ้ำ แต่ คล็อปป์ เลือกที่จะไม่ส่งเขาลงสนามตั้งแต่ต้น ทว่าสุดท้ายทีมเจ้าถิ่นก็มีสามกัปตันทีมในเกมเดียวกันเริ่มจาก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ตามด้วย โกเมซ และมาจบที่ ซาลาห์ โดยสตาร์แอฟริกันลงเล่นเกมยุโรปให้กับ หงส์แดง เป็นนัดที่ 70 พอดี และเป็นขุนพลของสโมสรรายที่ 13 ที่ลงสนามรายการดังกล่าวครบหลักที่ว่า
ส่วนประตูที่ยิง ตูลูส ได้ถือเป็นเม็ดที่หกแล้วในซีซั่นนี้ที่ บังโม คลำเป้าได้ในการลงเล่นที่ แอนฟิลด์ หกนัด และเป็นประตูที่ 43 ที่เขายิงให้ หงส์แดง ได้ในถ้วยยุโรปซึ่งทำให้เจ้าตัวรั้งตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรในถ้วยใบนี้